ยินต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ กิตติศักดิ์ เบ็ญหา

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ประวัติ Wayne Rooney

ประวัติ เวย์น รูนี่ย์

เวย์น รูนี่ย์ชื่อเต็มว่า เวย์น มาร์ก รูนี่ย์
เกิดเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1985 ที่ย่านคร็อกซ์เทธ เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันอายุ 28 ปี
ส่วนสูง 178 เซนติเมตร น้ำหนัก 79 กิโลกรัม
ตำแหน่ง กองหน้า สวมเสื้อหมายเลข 10
เส้นทางการค้าแข้ง
เวย์น รูนี่ย์เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนโรงเรียนลิเวอร์พูล สคูลบอยส์ และทีมเยาวชนเดอะไดนาโม
บราวนิ่งส์ ซึ่งเขาทำผลงานได้โดดเด่นสุดๆ จนได้รับการเซ็นสัญญาเป็นผู้เล่นในทีมเยาวชนของเอฟเวอร์ตัน
ในวันเกิดอายุครบรอบ 11 ปี และเขาได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของเอฟเวอร์ตัน โดยสวมเสื้อหมายเลข 18
ซึ่งชื่อของเขาก็ต้องถูกจารึกไว้เมื่อกลายเป็นผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีก ด้วยวัยเพียง 16 ปี กับ
360 วัน (ก่อนที่จะโดนแซงหน้าไปอีก 2 ครั้ง) ในวันที่ 19 ตุลาคม 2002
นัดที่แจ้งเกิดของเขาคือนัดที่ยิงประตูช่วยให้เอฟเวอร์ตันต้นสังกัดของเขาเอาชนะอาร์เซน่อล ทีมที่ไม่เคยแพ้ใคร
มา 30 เกมได้สำเร็จ และยังเป็นประตูสุดสวยด้วยการปั่นไซด์โค้งระยะกว่า 30 หลา เข้าสามเหลี่ยมมุมบน
แบบสุดอัศจรรย์อีกด้วย จากนั้น รูนี่ย์ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงสม่ำเสมอ ซึ่งจากเดิมที่เป็นนักเตะฝึกหัดของสโมสร
ได้รับค่าจ้างเพียง 10 ปอนด์ (ประมาณ 500 บาท) ต่อสัปดาห์ ก็ได้รับค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ปอนด์
(ประมาณ 500,000 บาท) ต่อสัปดาห์
นับตั้งแต่นั้นมา รูนี่ย์ก็ถูกจับตามองจากสื่อมวลชนในอังกฤษ และได้รับการยกย่องให้เป็นวันเดอร์คิดคนใหม่
ของวงการฟุตบอล และได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปี 2002 ด้วยเมื่อจบฤดูกาลแรก
แต่ชีวิตของ รูนี่ย์ก็ประสบปัญหาในฤดูกาลต่อมา เมื่อเอฟเวอร์ตันมีผลงานตกต่ำลงอย่างน่ากลัว ขณะที่ รูนี่ย์เอง
ก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บและฟอร์มการเล่นที่ดร็อปลงไปมาก รวมทั้งยังเริ่มมีพฤติกรรมในทางที่ไม่เหมาะสม
เช่นการไปเที่ยวสถานเริงรมย์และมีรสนิยมชอบสาวงามเมืองที่มากประสบการณ์เป็นต้น
รูนี่ย์กลับมาแจ้งเกิดได้อย่างยิ่งใหญ่แบบเต็มตัวในช่วงศึกยูโร 2004 โดยได้ถูกเรียกตัวจาก สเวน โกรัน เอริคส์สัน
ให้เข้ามาติดทีมชาติ โดยมี ไมเคิล โอเว่นสตาร์รุ่นพี่เป็นคู่หู ซึ่งก่อนหน้านั้น รูนี่ย์เคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติ
มาเป็นเวลาปีเศษแล้ว โดยเกมแรกที่ได้ลงเล่นในสีเสื้อ สิงโตคำรามคือเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติออสเตรเลีย
ในวันที่ 12 ก.พ. 2003 และเป็นอีกครั้งที่ทำสถิติเป็นผู้เล่นทีมชาติอังกฤษที่อายุน้อยที่สุด (ก่อนจะโดน
ธีโอ วัลค็อตต์วันเดอร์คิดคนต่อมาทำลายในปีกลาย) อีกทั้งเขายังเป็นนักเตะที่มีอายุน้อยที่สุดที่ทำประตู
ให้ทีมชาติได้ด้วยอายุเพียง 17 ปี ในเดือนกันยายน 2003 ในเกมที่พบกับมาซิโดเนีย
ฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นของ รูนี่ย์ทำให้ทีมชาติอังกฤษมีความหวังที่จะประสบความสำเร็จในเวทีระดับชาติ
อีกครั้ง แต่พวกเขาก็ต้องฝันสลายเมื่อ รูนี่ย์เกิดได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับโปรตุเกส
จนต้องเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ก่อนที่ทีม สิงโตคำรามจะตกรอบด้วยการพ่ายจุดโทษ
จากอาการบาดเจ็บของ รูนี่ย์ส่งผลให้เขาต้องพักรักษาตัวอีกหลายเดือน แต่มันก็กลายเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม
ที่สุดสำหรับทีมต่างๆ ที่จะตามล่าเจ้าหนูมหัศจรรย์คนนี้ไปร่วมทีม ขณะที่เอฟเวอร์ตัน ต้นสังกัดพยายามสุดชีวิต
เพื่อจะปกป้องสมบัติล้ำค่าของแฟนบอลเอาไว้ให้ได้
สุดท้าย รูนี่ย์ตกลงย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2004 ก่อนตลาดซื้อขายจะปิด
เพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยค่าตัวถึงกว่า 27 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,350 ล้านบาท) และลงเล่นนัดแรกในวันที่
28 กันยายน 2004 โดยพบกับทีมเฟเนร์บาห์เช่ ซึ่งเขาสามารถทำแฮตทริกได้ในนัดแรกที่ลงสนามให้กับทีม
สำหรับการยิงประตูนัดแรกในพรีเมียร์ลีกให้กับทีม ปีศาจแดงนั่นก็คือการยิงประตูทีมอาร์เซน่อล ในวันที่
24 ตุลาคม 2004 ช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 2-0 และเป็นประตูฉลองวันเกิดครบอายุ 19 ปี ให้กับเขาในวันนี้ด้วย
กระนั้นฟอร์มการเล่นของเขาก็ยังไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอมากนัก เนื่องจากแมนฯ ยูไนเต็ด เองก็มีปัญหา
ความไม่ลงตัวโดยเฉพาะ รุด ฟาน นิสเตลรอยกองหน้าตัวค้ำที่มีปัญหาคาใจกับทาง คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ปีกดาวรุ่งของทีมจนเป็นชนวนบาดหมางและลงเอยที่กองหน้าชาวฮอลแลนด์ ที่เป็นดาวซัลโวประจำทีม
ต้องย้ายออกไปในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
แต่การย้ายออกไปของ ฟาน นิสเตลรอยกลับเป็นผลดี เมื่อ รูนี่ย์ได้มีบทบาทในฐานะหัวใจสำคัญในเกมรุก
อย่างจริงจัง โดยมี หลุยส์ ซาฮาเป็นคู่หูคนใหม่ที่เข้าขากันได้ดี รวมถึง โรนัลโด้ที่เคยมีข่าวหมางใจกัน
ในช่วงฟุตบอลโลก 2006 ก็จับมือผนึกกำลังกันได้อย่างน่ากลัว
รูนี่ย์กับ โรนัลโด้เล่นได้เข้าขากันและยังเป็นกำลังหลักของทีม และทั้งสองได้ร่วมกันคว้าแชมป์ยูฟ่า
แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2007 และแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ครั้งติดต่อกันในปี 2007 – 2009 ก่อนที่ โรนัลโด้
จะย้ายออกจากทีมไป ซึ่งในช่วงปี 2007 ‘เวียร์ มินยังได้เปลี่ยนเสื้อเป็นหมายเลข 10 โดยมีดาวยิง
ผู้เป็นตำนานสโมสร เดนิส ลอว์เป็นผู้มอบเสื้อหมายเลข 10 ให้กับ รูนี่ย์อีกด้วย
ด้านชีวิตส่วนตัว เวย์น รูนี่ย์สมรสกับ คอลีน’ (สกุลเดิม แม็คลาฟลิน) มีบุตร 2 คน คือ ไค รูนี่ย์
เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2009 และ เคลย์ รูนีย์นอกจากนั้นเขายังมีน้องชายที่เล่นในตำแหน่ง
เดียวกันชื่อ จอห์น รูนี่ย์ที่ปัจจุบันเล่นให้สโมสรฟุตบอลแม็คเคิ่ลสฟิลด์ ทาวน์
ปัจจุบัน รูนี่ย์ได้รับค่าเหนื่อย 180,000 ปอนด์ (ประมาณ 9 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ ลงเล่นให้กับทีม ปีศาจแดง
ไปแล้วทั้งสิ้น 407 นัด ทำได้ 201 ประตู ได้รับใบเหลือง 74 ใบ และใบแดง 2 ใบ สำหรับเกมกับทีมชาติอังกฤษ
เขาลงเล่นไปแล้ว 83 นัด ทำได้ 36 ประตู ได้รับใบเหลือง 10 ใบ และใบแดง 2 ใบ


ขอขอบคุณ
http://www.manuclubs.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%99-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8Cwayne-rooney.html

ประวัติ ประวัติ Luis suarez

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม:    หลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ
วันเกิด:    24 มกราคม ค.ศ. 1987 (26 ปี)
สถานที่เกิด:    ซัลโต, ประเทศอุรุกวัย
ส่วนสูง:    1.79 เมตร (5.9 ft)
ตำแหน่ง:    กองหน้า

ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน:    ลิเวอร์พูล
หมายเลข:    7

สโมสรเยาวชน
2003-2005    นาซีอองนัล

สโมสรอาชีพ
    ปี                             สโมสร                  ลงเล่น        (ประตู)
2005-2006               นาซีอองนัล                   34           (12)
2006-2007               โกรนิงเงิน                      37           (15)
2007-2011               อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม     160          (111)
2011-ปัจจุบัน             ลิเวอร์พูล                      77           (38)


ทีมชาติ
    ปี                             สโมสร                  ลงเล่น        (ประตู)
2007                       อุรุกวัย ยู20                     4            (2)
2012                       อุรุกวัย ยู23                     4            (3)
2007–ปัจจุบัน            อุรุกวัย                          70           (36)

           หลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ (สเปน: Luis Alberto Suárez Díaz) เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย เป็นนักฟุตบอลชาวอุรุกวัย ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ตำแหน่งกองหน้า
          ซัวเรซ เกิด ณ เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่เมือง มอนเตวิเดโอ ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้อง 6 คน ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซได้เซ็นต์สัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรนาซีอองนัล ของเมืองมอนเตวิเดโอ สโมสรที่ซัวเรสเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของสโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ยิง 35 ประตู จาก 33 เกม ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ โยฮัน ครัฟฟ์, มาร์โก แวน บาสเทน และเดนนิส เบิร์กแคมป์ แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซไปกัดที่ไหล่ของนักเตะพีเอสวี ออสมาน แบคคาล และถูกแบน 7 นัด ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลจากประเทศอังกฤษได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล
          ในส่วนของการรับใช้อุรุกวัย ซัวเรสได้เป็นสมาชิกของทีมชุดยู 20 เข้าร่วมแข่ง บอลโลก ยู20 ประจำปี 2007 ในปี 2007 นี้เองซัวเรซได้ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเจอกับ ทีมชาติโคลัมเบีย และทำประตูได้ แต่ก็โดนไล่ออกจากสนามเนื่องจากรับ 2 ใบเหลือง ในฟุตบอลโลก ปี 2010 ซัวเรซมีบทบาทสำคัญในทีมชุดนี้ที่ได้อันดับที่ 4 โดยทำประตูได้ 3 ลูกตลอดการแข่งขัน เขาเรียกตัวเองว่า หัตถ์พระเจ้า จากการแข่งขันรายการนี้ในนัดพบทีมชาติกานา ที่ใช้มือป้องกันประตูช่วยให้ทีมอุรุกวัยผ่านเข้ารอบต่อไป ในปี 2011 ซัวเรสและทีมชาติอุรุกวัยได้แชมป์ โคปาอเมริกา ในการแข่งขันนี้ซัวเรสได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และยิงไปถึง 4 ประตู

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกสาวคนแรกที่เมืองบาร์เซโลนา ตั้งชื่อเธอว่าเดลฟินา

สโมสรอาชีพ

นาซีอองนัล
          ซัวเรซเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับทีมในบ้านเกิด ทีมนาซีอองนัล ทีมที่เขาเล่นในระดับเยาวชนมาตั้งแต่อายุ 14 คืนหนึ่งเขาถูกจับได้ว่าดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ ผู้ฝึกสอนในขณะนั้นปรามเขาว่า เขาจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอีกถ้ายังไม่จริงจังกับการเล่นฟุตบอล  ในเดือนพฤษภาคม 2005 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เขาได้ลงเล่นให้สโมสรอย่างเป็นทางการโดยพบกับทีม จูเนียร์ เดอ บารานควิลลา ในการแข่งขันลิเบอร์ตาดอเรส คัพ เขาทำประตูแรกได้ในเดือน กันยายน 2005 และช่วย นาซีอองนัล เป็นแชมป์ อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06 โดยทำได้ 10 ประตู ใน 27 เกม
โกรนิงเงิน
         ซัวเรซถูกจับตาจากกลุ่มแมวมองของ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ในตอนที่พวกเขาเดินทางไปประเทศอุรุกวัย เพื่อดูฟอร์มนักเตะอีกคนหนึ่ง ในเกมส์นั้นซัวเรสสร้างสรรค์เกม ยิงจุดโทษ และทำประตูที่สวยงาม หลังเกมนั้น กลุ่มแมวมองสนใจที่จะเซ็นต์สัญญาซื้อ ซัวเรซ หลังจบฤดูกาลนั้นสโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน เซ็นสัญญาซื้อเขาในราคา 800,000 ยูโร ซัวเรซอยากที่จะย้ายไปเล่นที่ยุโรปเพราะว่าแฟนของเขาและภรรยาในปัจจุบัน โซเฟีย บาลบิ ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้เขาต้องรักษาความสัมพันธ์จากการต้องห่างกันเอาไว้ และนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้อยู่ใกล้แฟนสาวมากขึ้น
เอเอฟซีอาแจ็กซ์
ซัวเรซ กับ สโมสรฟุตบอลเอเอฟซีอาแจ็กซ์
         ในช่วงปี ค.ศ. 2007 ซัวเรซได้เซ็นสัญญากับ เอเอฟซีอาแจ็กซ์เอาไว้ 4 ปี โดยเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกและบอลถ้วยเกือบทุกนัด และยังได้ถูกเลือกให้เป็นผู้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเอเอฟซีอาแจ็กซ์ อีกด้วย ซัวเรซนำทีมอาแจ็กซ์ คว้าแชมป์แชมป์เอเรดิวีซี่ ของลีกสูงสุดในประเทศ เนเธอร์แลนด์ในช่วงฤดูกาล 2010-2011 และ แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ ในช่วงฤดูกาล 2009-2010 ก่อนที่จะย้ายไปสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลของ พรีเมียร์ลีก ที่ประเทศอังกฤษ ในปลายฤดูกาล 2010-2011
ลิเวอร์พูล
หลุยส์ ซัวเรซ เล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ใน ปี ค.ศ. 2011
          ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ลิเวอร์พูล ได้ซื้อกองหน้ามา 2 คนคือ แอนดี แคร์โรล และ หลุยส์ ซัวเรซ เข้ามาในถิ่นแอนฟิลด์ และได้เซ็นสัญญาให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ถึงปี 2016 โดยซัวเรซได้มีโอกาสลงเล่นตัวจริงค่อนข้างมากถึงแม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูกาล 2010-11 แล้วก็ตาม เคนนี ดัลกลิช ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลได้เห็นความสามารถและความพิเศษของเขาคนนี้ ดัลกลิชเลยให้เขาสวมเสื้อเบอร์ 7 โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ซัวเรซเป็นตำนานของลิเวอร์พูบต่อจากเขาต่อไป เกมแรกที่ซัวเรซได้เล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกและเล่นในถิ่นแอนฟิลด์คือการเจอกับ สโต๊ค ซิตี้ โดยซัวเรซทำไป 1 ประตู และทำให้ลิเวอร์พูลชนะไป 2-0 โดยถูก ส่งลงมาเป็นตัวสำรองและก็ประเดิมประตูแรกของตัวเองในสีเสื้อลิเวอร์พูล ได้ทันที เรียกว่าเป็นการลดความกดดันทั้งในเรื่องค่าตัวและเบอร์เสื้ออย่างสิ้นเชิง และในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2011 ในนัดที่ ลิเวอร์พูลเปิดรังแอนฟิลด์ตอนรับการมาเยือนของคู่อริ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ถึงแม้ในวันนั้นซัวเรซจะไม่ได้ทำประตูแต่ก็ช่วยจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไป 3-1 ซัวเรซได้จ่ายไป 2 ลูก โดยการทำ แฮตทริกของ เดิร์ค เคาท์ ปีกขวาทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งในเกมนั้นยังต้องหลบซีนตำแหน่ง นักเตะยอดเยี่ยมประจำ เกมให้กับเขาเลยทีเดียว ซัวเรซทำสถิติตลอดระยะเวลา 5 เดือนแรกกับหงส์แดงด้วยการทำไป 4 ประตูจาก 13 เกม และก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจของสาวกเดอะ ค็อปได้อย่างเต็มตัว รวมถึง บรรดาเพื่อนร่วมทีมที่เรียงหน้าออกมาชมไม่ขาดสาย และช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2010-11 ซัวเรซ ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล
          ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูล ลงเล่นนัดแรกเจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ ยิงจุดโทษพลาดในช่วงต้นเกม แต่เขาก็ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะ อาร์เซนอล ถึง เอมิเรตส์สเตเดียม 2-0 ต่อมา ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 2-1 ต่อมา ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง 2-0 โดยในปีนี้ ได้สร้างเรื่องฉาวไว้หนึ่งคดี คือกรณีพูดจาเยียดสีผิว เอฟร่า ในเกมที่ต้องพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเดือนตุลาคม ทำให้เขาโดนตัดสินโทษแบน 8 เกม และโดนปรับเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 40,000 ปอนด์
          เริ่มต้นฤดูกาล 2012-13 ในวันที่ 7 สิงหาคม 2012 ซัวเรซได้ทำการเซ็นสัญญาระยะยาวกับลิเวอร์พูล ต่อมาในวันที่ 26 สิงหาคม เขายิงประตูแรกในฤดูกาล 2012-13 ในเกมที่เสมอ 2-2 กับแชมป์เก่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แอนฟิลด์ และในวันที่ 29 กันยายน 2012 เขาได้ซัดแฮททริกให้กับลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ลีกในเกมที่ต้องออกไปเยือนนอร์วิช ซิตี้ ซึ่งเป็นการซัดแฮททริกในฤดูกาลที่สองติดต่อกัน

          ในวันที่ 6 มกราคม 2013 ซัวเรซใช้มือช่วยในการทำประตูในเกมที่ชนะ แมนส์ฟิลด์ ทาวน์ จากลีกคอนเฟอร์เรนส์ ในเกมเอฟเอคัพ รอบสาม โดยที่กุนซือตาหวาน เบรนแดน ร็อดเจอรส์ ออกโรงปกป้องลูกทีมสุดๆ
          ต่อมาในวันที่ 19 มกราคม เขาได้ยิงประตูที่ 7 ใน 3 ครั้งที่พบกับนอร์วิช และทำให้ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะในบ้านได้สำเร็จ 5-0 สัปดาห์ต่อมา ซัวเรซได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเป็นครั้งแรก ในเกมเอฟเอคัพ รอบสี่ ที่ต้องลงสนามพบกับ "หมูชรา" โอลด์แฮ่ม แอตเลติก ซึ่งนัดนัดนั้นลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 2-3 ต่อมาในวันที่ 10 มีนาคม ซัวเรซได้ยิงประตูที่ 50 ได้สำเร็จ ตั้งแต่สวมเสื้อลิเวอร์พูล เป็นประตูแรกของเกม ทำให้ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะในบ้านนัดสำคัญกับสเปอร์สไปได้ 3-2
          ในช่วงท้ายสุดของฤดูกาล ซัวเรซเป็น 1 ใน 6 คนที่มีรายชื่ออยู่ใน "นักเตะแห่งปีของนักเตะพีเอฟเอ" เขาได้อันดับที่ 2 ของดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2012-13 ด้วยประตูทั้งสิ้น 23 ประตู และเป็นดาวซัลโวของทีมอีกด้วย จากการยิง 30 ประตูรวมทุกรายการที่ลงแข่งขัน
          กรณีการกัดของซัวเรซ ในวันที่ 21 เมษายน 2013 ในเกมที่เสมอกับเชลซี 2-2 ในถิ่นแอนฟิลด์ ด้วยการกัดไปบริเวณท่อนแขนของ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช จึงทำให้เขานั้นได้รับโทษแบนเป็นจำนวน 10 นัด ยาวตั้งแต่ปลายฤดูกาล 2012-13 ไปจนถึงต้นฤดูกาล 2013-14
          วันที่ 31 พฤษภาคม 2014 ซัวเรซ ออกมาประกาศว่าต้องการย้ายออกจากถิ่นแอนฟิลด์ โดยให้เหตุผลส่วนตัวว่าถูกสื่อจากเกาะอังกฤษ คุกคามชีวิตส่วนตัว จากนั้นวันที่ 6 สิงหาคม ลิเวอร์พูล ปฏิเสธข้อเสนอ 40.1 ล้านปอนด์ ของอาร์เซน่อล ในการยื่นซื้อตัวดาวยิงอุรุกวัยไปแบบไม่ใยดี กระทั่งมีปัญหาบานปลายในเวลาต่อมาเมื่อ ซัวเรซ อ้างว่า สโมสรผิดสัญญที่ให้ให้ไวกับตัน 
          ทว่าในวันถัดมา เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ก็ออมาจวกซัวเรซ ว่าไม่มีคำสัญญาใดๆจากสโมสรแม้แต่คำเดียว ส่งผลให้เทรนเนอร์ชาวไอแลนด์เหนือลงโทษกองหน้าฟันเหยิน ด้วยการส่งเจ้าตัวแยกออกไปซ้อมกับทีมสำรอง ถัดมาในวันที่ 8 สิงหาคม จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ ออกมาย้ำอีกเสียง เรื่องซัวเรซ จะไม่ได้ย้ายทีม
  วันที่ 14 สิงหาคม 2014 กองหน้าเจ้าปัญหา ออกมาประกาศอีกครั้งแบบงงกันทั้งโลกว่าต้องการจะอยู่กับสโมสรต่อไป และพร้อมจะต่อสัญญากับลิเวอร์พูลอีกด้วย พร้อมกับให้เหตุผลว่าได้แรงสนับสนุนจากกองเชียร์ และรู้สึกซาบซึ้งจากกำลังใจของ "เดอะ ค็อป" จากนั้นสองวันถัดมา ซัวเรซ ได้กลับมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่อีกครั้ง หลังจากเจ้าตัวออกมาขอโทษต่อหน้าสาธารณะ 
 วันที่ 25 กันยายน หัวหอกทีมชาติอุรุกวัย พ้นโทษแบนยาวกลับมาล่าตาข่ายได้เป็นครั้งแรกในศึกลีก คัพ รอบ 3 ซึ่งพบกับอริตลอดกาลแมนฯ ยูไนเต็ด ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทว่าซัวเรซ ช่วยทีมได้ไม่มาก ก่อนที่ "หงส์แดง" จะพ่ายไป 0-1 เกมถัดมาเป็นศึกพรีเมียร์ลีก โดยลิเวอร์พูล เจอกับซันเดอร์แลนด์ และ ซัวเรซ ได้ฤกษ์ประเดิมเกมลีกอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก พร้อมกับไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง เมื่อกดไป 2 ตุง ช่วยให้ต้นสังกัดบุกต้อน "แมวดำ" ถึงสเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ 3-1 

          จากนั้นหัวหอกฟันยื่น เครื่องติดเต็มสตีม เมื่อบวกประตูให้ตัวเองเป็นว่าเล่น ซึ่งมีไฮไลท์อยู่ที่ เกมถล่มเวสต์บรอมวิช 4-1 และไล่ยำนอริช 5-1 โดยเจ้าตัวกดแฮตทริกในเกมแรก ตามด้วยกระทุ้งคนเดียว 4 ตุงในเกมถัดมา และล่าสุด ซัวเรซ ยิงไปอีก 2 ตุงในนัดบุกสอนบอลสเปอร์ส 5-0 เท่ากับว่า "คิง หลุยส์" กดไปถึง 17 ประตู จาก 11 เกมที่ลงสนามในลีก 
เกียรติประวัติ

ระดับสโมสร

นาซีอองนัล
แชมป์อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06

อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
แชมป์เอเรดิวีซี่ ฮอลแลนด์ 2010-11
แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ 2009-10

ลิเวอร์พูล
แชมป์ลีกคัพ 2011-12

ระดับชาติ
ฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย
ฟุตบอลโลก 2010 : อันดับ 4
โคปา อเมริกา 2011 : แชมป์

รางวัลส่วนตัว

ซัวเรซ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม ของ โคปา อเมริกา 2011
เอเรดิวีซี่รองเท้าทองคำ : 2009–10
เคเอ็นวีบี คัพดาวยิงสูงสุด : 2009–10
ผู้เล่นแห่งปีของเอเรดิวีซี่ : 2009–10
ผู้เล่นแห่งปีของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม : 2008–09
ดาวยิงสูงสุดของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม : 2008–09,[14]2009–10
โคปา อเมริกา ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน : โคปา อเมริกา 2011
เคยมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักเตะอาชีพ : 2012



ขอขอบคุณ
http://www.translightcolors.com/sbo/7

ประวัติ เนย์มาร์ Neymar


เนย์มาร์ ดา ซิลวา ซังตุส ฌูนีโอร์ (โปรตุเกส: Neymar da Silva Santos Júnior; เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992) หรือรู้จักกันในชื่อ เนย์มาร์ เป็นนักฟุตบอลชาวบราซิล ปัจจุบันเล่นอยู่กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาและฟุตบอลทีมชาติบราซิลในตำแหน่งกองหน้า
ในฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ ในการแข่งขันรอบแรกนัดสุดท้าย เนย์มาร์เป็นผู้ยิงประตูแรกให้แก่บราซิล ที่พบกับแคเมอรูนในนาทีที่ 17 ซึ่งประตูนี้นับเป็นประตูที่ 100 ของทีมชาติบราซิล และนับเป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดที่ 100 ของบราซิลอีกด้วย
แต่ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่บราซิลพบกับโคลอมเบีย แม้บราซิลจะเป็นฝ่ายชนะไป 2-1 แต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังถึงขั้นร้าวเมื่อปะทะกับฮวน กามีโล ซูญีกา กองหลังของโคลอมเบียที่กระโดดเข้าใส่ที่หลัง ทำให้ต้องหยุดเล่นฟุตบอลโลกครั้งนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ ซึ่งในรอบต่อมาบราซิลก็เป็นฝ่ายแพ้ต่อเยอรมนีไปถึง 1-7 ประตู ทำให้หมดสิทธิที่จะผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ
ฤดูกาล 2014-15
เนย์มาร์ลงเล่นให้กับบาร์เซโลนา ในนัดที่เจอกับ บียาร์เรอัล
ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2014 เนย์มาร์ ได้ยิง 2 ประตูแรกในลาลีกา ฤดูกาล 2014–15 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ แอทเลติกบิลบาโอ 2-0 ต่อมา ในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2014 เนย์มาร์ ทำประตูที่ 3 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เลบันเต 5-0 ต่อมา ในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2014 เนย์มาร์ ทำแฮตทริกให้กับบาร์เซโลนา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ กรานาดา 6-0 ต่อมา ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 2014 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15 เนย์มาร์ ทำประตูแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งที่ปาร์กเดแพร็งส์ 2-3
ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เนย์มาร์ ทำประตูที่ 7 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเยิร์นมิวนิก 3-0 ต่อมา ในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ ทำประตูที่ 22 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 2-0 ต่อมา ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 เนย์มาร์ ได้ยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ บาเยิร์นมิวนิก ที่อัลลิอันซ์อาเรนา 2-3 ประตูรวม บาร์เซโลนา เอาชนะ บาเยิร์นมิวนิก 5-3 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 โกปาเดลเรย์ รอบชิงชนะเลิศ 2015 บาร์เซโลนา เจอกับ แอทเลติกบิลบาโอ ที่สนามกัมนอว์ ของบาร์เซโลนา เนย์มาร์ ทำประตูที่ 7 ในโกปาเดลเรย์ ช่วยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ แอทเลติกบิลบาโอ 3-1 คว้าแชมป์โกปาเดลเรย์ สมัยที่ 27 มาครอง พาทีมคว้าแชมป์ที่สองได้สำเร็จ
ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 2015 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ บาร์เซโลนา เจอกับ ยูเวนตุส ที่สนามโอลึมเพียชตาดิโยน ในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เนย์มาร์ ทำประตูที่ 10 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ช่วยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ ยูเวนตุส 3-1 คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 5 มาครอง พาทีมคว้าทริปเปิลแชมป์ได้สำเร็จ จบฤดูกาล 3 ประสาน MSN (เมสซี่, ซัวเรซ และ เนย์มาร์) ยิงประตูรวมทั้งหมด 122 ประตู ทำลายสถิติ 118 ประตูของ เรอัล มาดริด (คริสเตียโน โรนัลโดกอนซาโล อีกวาอิน และ การีม แบนเซมา ในฤดูกาล 2011-12)
ฤดูกาล 2015-16
เนย์มาร์ป่วยเป็นคางทูม ทำให้ไม่ได้ลงสนามในนัดที่ บาร์เซโลนา ลงเล่นในยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2015และซูเปร์โกปาเดเอสปาญา 2015 ต่อมา ในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ทำประตูแรกในลาลีกา ฤดูกาล 2015–16 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ อัตเลตีโกมาดริด ที่สนามกีฬาบีเซนเตกัลเดรอน 2-1 ต่อมา ในวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ทำประตูที่ 2 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เลบันเต 4-1 ต่อมา ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ทำประตูที่ 3 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ เซลตาบีโก 1-4 ต่อมา ในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ทำประตูที่ 4 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ เซบียา 1-2 ต่อมา ในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ทำแฮตทริกยิง 4 ประตูให้ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ ราโยบาเยกาโน 5-2 ต่อมา ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ทำประตูที่ 9 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เคตาเฟ 2-0 ต่อมา ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ ยิง 2 ประตูในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บาเต บอรีซอฟ 3-0 ต่อมา ในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ ยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ บียาร์เรอัล 3-0 ต่อมา ในวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ทำประตูที่ 12 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล ที่ซานเตียโก เบร์นาเบว 4-0 ต่อมา ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ ยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เรอัลโซเซียดัด 4-0 ต่อมา ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 เนย์มาร์ มีชื่อ 1 ใน 3 คนสุดท้ายเข้าชิงรางวัล 2015 ฟีฟ่าบาลงดอร์ ร่วมกับ เมสซี่ และ โรนัลโด สุดท้ายเป็น เมสซี่ ที่คว้ารางวัลนี้ไปครอง
ในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2016 โกปาเดลเรย์ รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก เนย์มาร์ทำประตูแรกในโกปาเดลเรย์ ฤดูกาล 2015–16 ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัสปัญญอล 4-1 ต่อมา ในวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ทำประตูที่ 15 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ กรานาดา 4-0 ต่อมา ในวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ทำประตูที่ 16 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ แอทเลติกบิลบาโอ 6-0 ต่อมา ในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2016 โกปาเดลเรย์ รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก เนย์มาร์ทำประตูที่ 2 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ แอทเลติกบิลบาโอ ที่ซานมาเมส 2-1 ต่อมา ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2016 โกปาเดลเรย์ รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดที่สอง เนย์มาร์ทำประตูที่ 3 ในโกปาเดลเรย์ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ แอทเลติกบิลบาโอ 3-1 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ แอทเลติกบิลบาโอ 5-2 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ โกปาเดลเรย์ได้สำเร็จ
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ทำประตูที่ 17 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เซลตาบีโก 6-1 ต่อมา ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ทำประตูที่ 18 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะลัสปัลมัส 2-1 ต่อมา ในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ ยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เคตาเฟ 6-0 ต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง เนย์มาร์ทำประตูที่ 3 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อาร์เซนอล 3-1 รวมผลสองนัด บาร์เซโลนา เอาชนะ อาร์เซนอล 5-1 ช่วยให้ บาร์เซโลนา ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ ทำประตูที่ 21 ในลาลีกาด้วยลูกจุดโทษ ในนัดที่ บาร์เซโลนา เสมอกับ บียาร์เรอัล 2-2 ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ ทำประตูที่ 22 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เดปอร์ตีโบเดลาโกรูญา 8-0 ต่อมา ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ ทำประตูที่ 23 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ สปอร์ติงเดคีคอน 6-0 ต่อมา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ ทำประตูที่ 24 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ อัสปัญญอล 5-0 ต่อมา ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ลาลีกา นัดปิดฤดูกาล บาร์เซโลนา เจอกับ กรานาดา เป็นนัดตัดสินแชมป์ลาลีการะหว่าง บาร์เซโลนา กับ เรอัลมาดริด ในนัดนี้ บาร์เซโลนา จะต้องชนะ กรานาดา บาร์เซโลนา ก็จะได้แชมป์ลาลีกา เนย์มาร์จ่ายบอลให้ ซัวเรซ ทำแฮตทริก โดย บาร์เซโลนา เอาชนะ กรานาดา 3-0 ช่วยให้ บาร์เซโลนา คว้าแชมป์ลาลีกามาครอง ต่อมา ในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 โกปาเดลเรย์ รอบชิงชนะเลิศ 2016บาร์เซโลนา เจอกับ เซบียา ที่สนามกีฬาบีเซนเตกัลเดรอน เนย์มาร์ทำประตูช่วยให้ บาร์เซโลนา เอาชนะ เซบียา ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-0 คว้าแชมป์โกปาเดลเรย์ สมัยที่ 28 มาครอง พาทีมคว้าดับเบิลแชมป์ได้สำเร็จ
ฤดูกาล 2016-17
ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2016 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2016–17 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม C เนย์มาร์ทำประตูแรกในฤดูกาล 2016-17 และจ่ายบอลให้เพื่อนทำ 4 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ เซลติก จากสกอตแลนด์ 7-0 ต่อมา ในวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ทำประตูแรกในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ เลกาเนส 5-1 ต่อมา ในวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ ยิง 2 ประตู ในนัดที่ บาร์เซโลนา เอาชนะ สปอร์ติงเดคีคอน 5-0 ต่อมา ในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ทำประตูที่ 4 ในลาลีกา ในนัดที่ บาร์เซโลนา พ่ายแพ้ เซลตาบีโก 3-4 ต่อมา ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2016 เนย์มาร์ทำประตูที่ 2 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่ บาร์เซโลนา เปิดสนามกัมนอว์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี จากอังกฤษ 4-0


ขอขอบคุณ

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ประวัติ ลิโอเนล เมสซี่ Lionel Messi

Lionel Messi L10
ชื่อ : ลิโอเนล เมสซี่ Lionel Messi
วันเกิด : 24 มิถุนายน พ.ศ. 2530
เกิดที่ : โรซารีโอ อาร์เจนตินา
สูง : 1.69 เมตร (6 ft)
ตำแหน่ง : กองหน้า / ปีก
ข้อมูลการค้าแข้ง
สโมสรปัจจุบัน : บาร์เซโลนา
หมายเลขเสื้อ : 10
ประวัติ : ลิโอเนล เมสซี่
ลีโอเนล เมสซี่ เป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา ปัจจุบันเล่นอยู่ในสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาและทีมชาติอาร์เจนตินา ในตำแหน่งกองหน้าหรือปีก เขายังถือสัญชาติสเปนอีกด้วย ซึ่งทำให้เขาถือว่าเป็นนักฟุตบอลยุโรป เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในยุคนี้
เมสซี ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีเมื่อเขาอายุ 21 ปี และได้รับรางวัลในปี ค.ศ. 2009 (นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี ค.ศ. 2009) และได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 2010 และ 2011 โดยเมสซี่ยังถูกเปรียบเทียบถึงสไตล์การเล่นของเขาและความสามารถว่าเหมือนเดียโก มาราโดน่า ซึ่ง มาราโน่าเองก็ยกย่องเมสซี่ว่าเป็นสุดยอดผู้เล่นและจะเป็นตำนานเหมือนกับเขา
เมสซี่ เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อยและบาร์เซโลนาก็ค้นพบความเก่งกาจของเขาอย่างรวดเร็ว โดยเมสซี่ออกจากทีมเยาวชนสโมสรกีฬานิวเวลส์โอลด์บอยส์ เมืองโรซารีโอ เมื่อปี ค.ศ. 2000 ที่เขาฝึกฝนฟุตบอลอยู่ และย้ายไปอยู่ยุโรปพร้อมครอบครัว แต่เมสซี่ซึ่งมีโรคขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตติดตัวมา และทางบาร์เซโลน่าก็เสนอในการรักษาโรคนี้ให้กับเมสซี โดยเมสซี่ลงเตะให้กับบาร์ซ่าครั้งแรกในฤดูกาล 2004-–05 และทำลายสถิติของทีม โดยเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในลีกได้ ฤดูกาลแจ้งเกิดของเมสซี่คือฤดูกาล 2006-07 เขาเป็นผู้เล่นในทีมชุดใหญ่เต็มตัว และทำแฮตทริกได้ในศึกเอลกลาซีโก พอจบฤดูกาลเมสซี่ยิงประตูรวม 14 ประตู 26 เกมในลีก จากนั้นเมสซี่ก็ประสบความสำเร็จในอาชีพของเขาในฤดูกาล 2008-09 เขายิงประตู 38 ประตู เป็นนักเตะสำคัญของทีมในการเก็บชัยชนะ 3 รายการในฤดูกาลเดียว แต่แล้วสถิตินี้ก็ถูกทำลายไปในฤดูกาลถัดมา เมสซี่ฟอร์มร้อนแรงยิ่งขึ้น ในฤดูกาล 2009-10 เขายิงประตูไป 47 ประตูในทุกการแข่งขัน เทียบเท่าสถิติของโรนัลโด้(บราซิล)ที่เคยทำให้กับบาร์เซโลน่า แต่เมสซี่ก็มาทำลายสถิติของตัวเองอีกครั้งในฤดูกาล 2010-11 กับประตู 53 ประตูในทุกการแข่งขัน
เมสซีเป็นหนึ่งในนักเตะของบาร์ซ่าที่คว้าแชมป์ลาลีกา 5 ครั้ง แชมเปียนส์ลีก 3 ครั้ง ยิงประตูได้ 2 ประตูในนัดชิงชนะเลิศ กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้งในปี ค.ศ. 2009 และ 2011 แต่เมสซี่พลาดการลงสนามในนัดที่บาร์เซโลน่าชนะอาร์เซนอลในปี ค.ศ. 2006 แต่ก็ได้รับเหรียญทองในฐานะผู้เล่นในการแข่งขัน และฤดูกาล 2010–11 ในรายการแชมเปี้ยนส์ลีก เมสซีถือว่าเป็นนักฟุตบอลที่ยิงประตูได้สูงสุดอันดับ 3 รองจากเกิร์ด มึลเลอร์และฌ็อง-ปีแยร์ ปาแป็ง แต่อย่างไรก็ตามเมสซี่เป็นนักเตะคนแรกที่ได้รับรางวัลผู้ทำประตูสูงสุดในแชมเปี้ยนส์ลีก 3 ปีติดต่อกัน หลังจากที่รายการนี้เปลี่ยนระบบการแข่งขันในปี ค.ศ. 1992
เมสซี่ ลงแข่งอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับทีมชุดใหญ่เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 ขณะที่อายุได้ 16 ปี 145 วัน ในนัดกระชับมิตรกับสโมสรฟุตบอลปอร์ตู ต่อมาไม่ถึงปี ฟรังก์ ไรการ์ด (Frank Rijkaard) ให้เขาลงแข่งในลาลีกาครั้งแรกในนัดเจอกับ เอสปาญอล เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2004 (ขณะอายุ 17 ปี 114 วัน) ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดอันดับ 3 ที่เล่นให้กับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลน่า และเป็นผู้เล่นสโมสรที่อายุน้อยที่สุดที่เล่นในลาลีกา แต่ต่อมาสถิตินี้ถูกทำลายโดยเพื่อนร่วมทีมบาร์เซโลนา โบยาน เกอร์กิช และเมื่อเขาทำประตูแรกในทีมชุดใหญ่ให้กับสโมสรที่แข่งกับอัลบาเซเตบาลอมเปีย เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 ขณะที่เมสซีอายุ 17 ปี 10 เดือน 17 วัน ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในลาลีกา ให้กับทีมบาร์เซโลน่า แต่สถิติก็ถูกทำลายอีกครั้งโดยโบยาน เกอร์กิชในปี ค.ศ. 2007 ที่ยิงประตูจากการจ่ายของเมสซี และเมสซียังได้กล่าวเกี่ยวกับอดีตโค้ชของเขาฟรังก์ ไรการ์ดว่า ผมจะไม่มีวันลืมความจริงที่ผมได้เริ่มต้นอาชีพของผมนี้ ว่าเขาได้สร้างความเชื่อมั่นในตัวผม ขณะที่ผมอายุเพียง 16 ย่าง17 ปีเท่านั้น
แต่ในระดับทีมชาตินั้น เมสซี่ ยังคงไม่ประสบความสำเร็จกับทีมชาติอาร์เจนติน่า ซึ่งยังคงไม่ได้แชมป์โลกในยุคที่มีเมสซี่ แต่เมสซี่อายุถือว่ายังไม่มากนัก และยังมีโอกาศที่จะคว้าเกียรติยศอันสูงสุดนี้มาครองได้อีกหลายปี
สถิติ : ลีโอเนล เมสซี่่


แชมป์ที่ได้กับบาร์เซโลนา
ลาลีกา: 5
2004–05, 2005–06, 2008–09, 2009–10, 2010–11
โกปาเดลเรย์: 1
2008–09
ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา: 4
2005, 2006, 2009, 2010
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก: 3
2005–06, 2008–09, 2010–11
ยูฟ่าซูเปอร์คัป: 2
2009, 2011
ฟีฟ่าคลับเวิลด์คัป: 2
2009, 2011
แชมป์ที่ได้อาร์เจนติน่า
ฟุตบอลโลกอายุไม่เกิน 20 ปี: 1
2005
เหรียญทองโอลิมปิก: 1
2008

ขอขอบคุณ
https://sutheetom0102.wordpress.com

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ประวัติส่วนตัว Cristiano Ronaldo

Cristiano Ronaldo CR7




ประวัติส่วนตัว

คริสเตียโน โรนัลโด เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ที่เกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส เป็นบุตรชายของนายชูเซ ดีนิช อาไวรู (เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2548 ขณะมีอายุ 52 ปี) กับนางมาเรีย ดูโลริช อาไวรู เป็นบุตรชายคนเล็กในพี่น้อง 4 คน ถึงแม้ตอนเกิดเขาจะคลอดก่อนกำหนดแต่ก็มีน้ำหนักสมบูรณ์ถึง 8 ปอนด์ ทวดฝ่ายมารดาของเขา อีซาเบล ดา ปีดาดี มีพื้นเพมาจากประเทศเคปเวิร์ด
ที่มาของชื่อโรนัลโดนั้น บิดาของเขาเป็นผู้ตั้งให้ โดยได้แรงบันดาลใจจากชื่อของ นายโรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบุคคลที่บิดาของโรนัลโดชื่นชอบตั้งแต่เรแกนยังเป็นนักแสดงอยู่
ครอบครัวของโรนัลโดอาศัยอยู่ที่ย่านกิงตาดูฟาลเซา เขตซังตูอังตอนีอูของเมืองฟุงชาล ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรยากจนอาศัยอยู่มาก โรนัลโดเริ่มเล่นฟุตบอลที่นี่ ซึ่งในตอนเด็กเขาจะชอบเล่นฟุตบอลมาก บริเวณตามถนน พอตอนเขาอายุ 6 ขวบ เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังในทีมชุดใหญ่ของ ทีม Andorinha โดยการชักชวนของญาติเขาที่อยู่ในทีมนี้ พอถึงปี พ.ศ. 2538 โรนัลโดย้ายไปอยู่กับทีม Nacional โดยมีการจ่ายค่าตัวเป็นชุดฟุตบอลและลูกบอล



      กริชเตียนู รูนัลดู ดูช ซังตูช อาไวรู (โปรตุเกส: Cristiano Ronaldo dos Santos Aveiro) (เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1985) หรือรู้จักกันในชื่อ คริสเตียโน โรนัลโด (โปรตุเกส: Cristiano Ronaldo) เป็นนักฟุตบอล ชาวโปรตุเกส ปัจจุบันสังกัดอยู่กับสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด ใน ลาลีกา เล่นในตำแหน่ง กองหน้า และเป็นกัปตันทีม ของ ฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกสคนปัจจุบัน โรนัลโดเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลหลังย้ายจาก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มาอยู่กับ เรอัลมาดริด ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์, โรนัลโดได้รับค่าจ้างในการลงเล่นให้กับ เรอัลมาดริด จำนวน 12 ล้านปอนด์ต่อปี ทำให้เขาเป็นักเตะที่มีค่าเหนื่อยมากที่สุดในโลก.
โรนัลโดได้ลงเล่นฟุตบอลในนามทีมเยาวชนของ อันดูรินญา เมื่อเขาเล่นได้อยู่สองปี, ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับ นาซีอองนาล.ในปี 1997 เขาได้เซ็นสัญญาให้กับสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง สปอร์ติงลิสบอน. โรนัลโดได้ถูกพิจรณาย้ายตัวไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด โดยคนที่ซื้อเขาคือ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซื้อตัวเขามาด้วยจำนวนเงิน 12.24 ล้านปอนด์ ในปี 2003, โรนัลโดได้แชมป์ เอฟเอคัพ ซึ่งเป็นเกียรติประวัติแชมป์แรกของเขาในปี 2003.
โรนัลโดลงเล่นในเกมส์ของ ฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส ในระดับชาตินัดแรกคือตอนเจอกับ คาซัคสถาน ในเดือนสิงหาคม 2003.และหลังจากนั้นเขาได้ลงเล่นมากขึ้นรวมทั้งหมดถึงห้าทัวร์นาเมนต์; ยูโร 2004, ฟุตบอลโลก 2006, ยูโร 2008. ฟุตบอลโลก 2010 และ ยูโร 2012 เขาทำประตูแรกในนามทีมชาติโปรตุเกสได้ในการแข่งขันยูโร 2004 ในนัดเปิดการแข่งขันที่เจอกับ กรีซ เขาเป็นคนสำคัญในการนำทีมชาติโปรตุเกสเข้าไปชิงชนะเลิศในปี 2004.และหลังจากนั้นโรนัลโดได้มีบทบาทและได้ลงตำแหน่งตัวจริงมากขึ้น. ในปี 2008 โรนัลโดได้เป็นกัปตันทีมครั้งแรกของทีมชาติโปรตุเกสได้นำทีมเข้าแข่งขัน ยูโร 2008 สามารถเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้ เขาสามารถยิงได้สามประตูในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้. ในวันที่ 16 ตุลาคม 2012 โรนัลโดได้ลงเล่นครบ 100 นัดสำหรับทีมชาติโปรตุเกสในนัดที่เจอกับ ไอร์แลนด์เหนือ ทำให้เข้าเป็นหนึ่งในสามนักเตะที่ลงเล่นให้กับทีมชาติโปรตุเกสเกิน 100 นัด ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012เฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของเขาได้มีคนติดตามถึง 50 ล้านคน.
ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 มีการจัดอันดับตำแหน่งนักเตะรูปงามแห่งยูโร 2008 จัดทำโดยแอลจี บริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า คริสเตียโน่ โรนัลโดได้รับคะแนนโหวตครั้งนี้เป็นอันดับ 1[ในปี 2012 โรนัลโดได้รับรางวัลนักกีฬาอิเบโร่-อเมริกัน ประจำปี 2012 ประเภทนักฟุตบอลชาย


ขอขอบคุณ
http://nitithat18.blogspot.com/

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

นักบอล

นักบอลที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกปี2015

อันดับที่ 10 อเล็กซิส ซานเชซ 30.1 กิโลเมตร / ชั่วโมง
img-20150401-alexis-sanchez
อเล็กซิส ซานเชซ เป็นนักเตะที่มีความคล่องตัวสูง แต่ความเร็วของเขาในการวิ่งระยะยาวนั้นยังทำได้ไม่ดีพอ จึงทำให้เขาได้อยู่ในอันดับที่สิบ


อันดับ 9 อาร์เยน ร็อบเบน 30.4 กิโลเมตร / ชั่วโมง
img-20150401-arjen-robben
อาร์เยน ร็อบเบน ถือว่าเป็นนักเตะที่ทำให้กองหลังของคู่แข่งขวัญหนีดีฝ่อมาตลอด กับการเล่นตำแหน่งปีกของเขามาเป็นระยะเวลาหลายปี ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่จะเป็นเขาติดท็อป 10


อันดับ 8 ฟร้องค์ ริเบรี่ 30.7 กิโลเมตร / ชั่วโมง
img-20150401-Franck-Ribery
ฟร้องค์ ริเบรี่ เพลย์เมคเกอร์ร่างเล็กที่มีความเพียบพร้อมในทุกด้านของการเป็นนักฟุตบอล และยังเพื่อนร่วมทีมของ Robben เขามีความน่ากลัวเท่าเทียมกัน และเร็วกว่า ร็อบเบน ซะอีก


อันดับ 7 เวย์น รูนี่ย์ 31.2 กิโลเมตร / ชั่วโมง
img-20150401-wayne-rooney
เวย์น รูนี่ย์​ มีสัดส่วนที่ดูแข็งแรง และไม่น่าจะมีความเร็ว แต่นักเตะชาวอังกฤษผู้นี้ กลับแสดงให้เห็นแล้วว่ารูปร่างไม่ใช่ปัญหาในการวิ่งของเขา เขาจึงได้อันดับเจ็ดในรายการนี้อ


อันดับ 6 ลิโอเนล เมสซี่ 32.5 กิโลเมตร / ชั่วโมง
img-20150401-lionel-messi
ลิโอเนล เมสซี่ ซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของวงการลูกหนังโลก เขาเป็นนักเตะที่ไปกับลูกบอลได้รวดเร็วสุดๆ นอกจากนี้เขายังมีการยิงที่คมกริบและมีการจ่ายบอลที่แม่นยำ แน่นอนว่าเขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของอาเจนติน่าและของโลกเช่นกัน


อันดับ 5 ธีโอ วัลคอตต์ 32.7 กิโลเมตร / ชั่วโมง
img-20150401-theo-walcott
อาร์เซน่อล ยังคงหวังที่จะเห็น ธีโอ วัลคอตต์ กลับมาฉีกแนวรับของคู่แข่งเร็วๆนี้ หลังจากการกลับมาจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าของเขา นานเกือบสองปี และยังคงครองอันดับต้นๆของนักเตะที่มีสปีดที่เร็วที่สุดต่อไปเช่นเดิม


อันดับ 4 คริสเตียโน โรนัลโด้ 33.6 กิโลเมตร / ชั่วโมง
img-20150401-cristiano-ronaldo
คริสเตียโน โรนัลโด้ นักเตะ บัลลงดอร์ ปีล่าสุด ด้วยพลังงานที่ล้นเหลือ บวกกับรูปร่างที่สมบรูณ์แบบ ทำให้เขาสามารถระเบิดพลังออกมาได้อย่างไร้ขีดจำกัด มีคนบอกว่าถ้า เมสซี่ คือนักที่มีพรสวรรค์ โรนัลโด้ คือนักเตะที่มีพรแสวง นั่นเอง จึงทำให้เขาเป็นฟุตบอลที่เร็วที่สุดเป็นอันดับที่สี่


อันดับ 3 อารอน เลนนอน 33.8 กิโลเมตร / ชั่วโมง
img-20150401-aaron-lennon
อารอน เลนนอน ​ผู้ที่มีความเร็ว คือฉายาของ เลนน่อน อยู่แล้ว และแฟนๆของ สเปอร์ส รู้ดีถึงความเร็วของ อารอน เลนน่อน และเห็นได้ชัดว่า เขาเร็วกว่าทั้ง วัลคอตต์, โรนัลโด้ และ ร็อบเบน


อันดับ 2 แกเร็ธ เบล 34.7 กิโลเมตร / ชั่วโมง
img-20150401-gareth-bale
แกเร็ธ เบล ​คือ ยูเซน โบลด์ ของวงการฟุตบอล ยากที่จะหาคนวิ่งตามเขาทัน หากเขาได้เปิดเท้าควบทะยาน แต่อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น Gareth Bale ก็จะกลายเป็นนักเตะที่เร็วที่สุด แล้วใครหล่ะที่เป็นอันดับหนึ่ง


อันดับ 1 อันโตนิโอ วาเลนเซีย 35.1 กิโลเมตร / ชั่วโมง
img-20150401-Antonio-Valencia
อันโตนิโอ วาเลนเซีย ​ตามการเก็บข้อมูลจากฟีฟ่า ค่อนข้างเป็นที่น่าแปลกใจเล็กน้อย เพราะผู้ที่ครองอันดับหนึ่งในการเป็นผู้เล่นที่วิ่งเร็วที่สุดนั่นก็คือ อันโตนิโอ วาเลนเซีย นักเตะของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นเอง มีคนบอกว่า หากเขาเพิ่มความสามารถด้านอื่นๆให้กับตัวเอง เขาจะกลายเป็น โรนัลโด้ คนที่สองของ แมนยูในเต็ดได้สบายเลย


ขอขอบคุณ
http://www.epl.in.th/post/8723