ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม: หลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ
วันเกิด: 24 มกราคม ค.ศ. 1987 (26 ปี)
สถานที่เกิด: ซัลโต, ประเทศอุรุกวัย
ส่วนสูง: 1.79 เมตร (5.9 ft)
ตำแหน่ง: กองหน้า
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน: ลิเวอร์พูล
หมายเลข: 7
สโมสรเยาวชน
2003-2005 นาซีอองนัล
สโมสรอาชีพ
ปี
สโมสร
ลงเล่น (ประตู)
2005-2006
นาซีอองนัล
34
(12)
2006-2007
โกรนิงเงิน
37
(15)
2007-2011
อาแจ็กซ์
อัมสเตอร์ดัม 160 (111)
2011-ปัจจุบัน ลิเวอร์พูล
77
(38)
ทีมชาติ
ปี
สโมสร
ลงเล่น (ประตู)
2007
อุรุกวัย ยู20
4 (2)
2012
อุรุกวัย ยู23
4 (3)
2007–ปัจจุบัน อุรุกวัย
70 (36)
หลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ (สเปน: Luis Alberto Suárez
Díaz) เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1987
ที่เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย เป็นนักฟุตบอลชาวอุรุกวัย
ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ตำแหน่งกองหน้า
ซัวเรซ เกิด ณ เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่เมือง มอนเตวิเดโอ ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้อง 6 คน ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซได้เซ็นต์สัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรนาซีอองนัล ของเมืองมอนเตวิเดโอ สโมสรที่ซัวเรสเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของสโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ยิง 35 ประตู จาก 33 เกม ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ โยฮัน ครัฟฟ์, มาร์โก แวน บาสเทน และเดนนิส เบิร์กแคมป์ แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซไปกัดที่ไหล่ของนักเตะพีเอสวี ออสมาน แบคคาล และถูกแบน 7 นัด ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลจากประเทศอังกฤษได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล
ในส่วนของการรับใช้อุรุกวัย ซัวเรสได้เป็นสมาชิกของทีมชุดยู 20 เข้าร่วมแข่ง บอลโลก ยู20 ประจำปี 2007 ในปี 2007 นี้เองซัวเรซได้ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเจอกับ ทีมชาติโคลัมเบีย และทำประตูได้ แต่ก็โดนไล่ออกจากสนามเนื่องจากรับ 2 ใบเหลือง ในฟุตบอลโลก ปี 2010 ซัวเรซมีบทบาทสำคัญในทีมชุดนี้ที่ได้อันดับที่ 4 โดยทำประตูได้ 3 ลูกตลอดการแข่งขัน เขาเรียกตัวเองว่า หัตถ์พระเจ้า จากการแข่งขันรายการนี้ในนัดพบทีมชาติกานา ที่ใช้มือป้องกันประตูช่วยให้ทีมอุรุกวัยผ่านเข้ารอบต่อไป ในปี 2011 ซัวเรสและทีมชาติอุรุกวัยได้แชมป์ โคปาอเมริกา ในการแข่งขันนี้ซัวเรสได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และยิงไปถึง 4 ประตู
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกสาวคนแรกที่เมืองบาร์เซโลนา ตั้งชื่อเธอว่าเดลฟินา
ซัวเรซ เกิด ณ เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่เมือง มอนเตวิเดโอ ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้อง 6 คน ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซได้เซ็นต์สัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรนาซีอองนัล ของเมืองมอนเตวิเดโอ สโมสรที่ซัวเรสเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของสโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ยิง 35 ประตู จาก 33 เกม ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ โยฮัน ครัฟฟ์, มาร์โก แวน บาสเทน และเดนนิส เบิร์กแคมป์ แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซไปกัดที่ไหล่ของนักเตะพีเอสวี ออสมาน แบคคาล และถูกแบน 7 นัด ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลจากประเทศอังกฤษได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล
ในส่วนของการรับใช้อุรุกวัย ซัวเรสได้เป็นสมาชิกของทีมชุดยู 20 เข้าร่วมแข่ง บอลโลก ยู20 ประจำปี 2007 ในปี 2007 นี้เองซัวเรซได้ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเจอกับ ทีมชาติโคลัมเบีย และทำประตูได้ แต่ก็โดนไล่ออกจากสนามเนื่องจากรับ 2 ใบเหลือง ในฟุตบอลโลก ปี 2010 ซัวเรซมีบทบาทสำคัญในทีมชุดนี้ที่ได้อันดับที่ 4 โดยทำประตูได้ 3 ลูกตลอดการแข่งขัน เขาเรียกตัวเองว่า หัตถ์พระเจ้า จากการแข่งขันรายการนี้ในนัดพบทีมชาติกานา ที่ใช้มือป้องกันประตูช่วยให้ทีมอุรุกวัยผ่านเข้ารอบต่อไป ในปี 2011 ซัวเรสและทีมชาติอุรุกวัยได้แชมป์ โคปาอเมริกา ในการแข่งขันนี้ซัวเรสได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และยิงไปถึง 4 ประตู
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกสาวคนแรกที่เมืองบาร์เซโลนา ตั้งชื่อเธอว่าเดลฟินา
สโมสรอาชีพ
นาซีอองนัล
ซัวเรซเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับทีมในบ้านเกิด ทีมนาซีอองนัล ทีมที่เขาเล่นในระดับเยาวชนมาตั้งแต่อายุ 14 คืนหนึ่งเขาถูกจับได้ว่าดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ ผู้ฝึกสอนในขณะนั้นปรามเขาว่า เขาจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอีกถ้ายังไม่จริงจังกับการเล่นฟุตบอล ในเดือนพฤษภาคม 2005 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เขาได้ลงเล่นให้สโมสรอย่างเป็นทางการโดยพบกับทีม จูเนียร์ เดอ บารานควิลลา ในการแข่งขันลิเบอร์ตาดอเรส คัพ เขาทำประตูแรกได้ในเดือน กันยายน 2005 และช่วย นาซีอองนัล เป็นแชมป์ อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06 โดยทำได้ 10 ประตู ใน 27 เกม
นาซีอองนัล
ซัวเรซเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับทีมในบ้านเกิด ทีมนาซีอองนัล ทีมที่เขาเล่นในระดับเยาวชนมาตั้งแต่อายุ 14 คืนหนึ่งเขาถูกจับได้ว่าดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ ผู้ฝึกสอนในขณะนั้นปรามเขาว่า เขาจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอีกถ้ายังไม่จริงจังกับการเล่นฟุตบอล ในเดือนพฤษภาคม 2005 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เขาได้ลงเล่นให้สโมสรอย่างเป็นทางการโดยพบกับทีม จูเนียร์ เดอ บารานควิลลา ในการแข่งขันลิเบอร์ตาดอเรส คัพ เขาทำประตูแรกได้ในเดือน กันยายน 2005 และช่วย นาซีอองนัล เป็นแชมป์ อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06 โดยทำได้ 10 ประตู ใน 27 เกม
โกรนิงเงิน
ซัวเรซถูกจับตาจากกลุ่มแมวมองของ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ในตอนที่พวกเขาเดินทางไปประเทศอุรุกวัย เพื่อดูฟอร์มนักเตะอีกคนหนึ่ง ในเกมส์นั้นซัวเรสสร้างสรรค์เกม ยิงจุดโทษ และทำประตูที่สวยงาม หลังเกมนั้น กลุ่มแมวมองสนใจที่จะเซ็นต์สัญญาซื้อ ซัวเรซ หลังจบฤดูกาลนั้นสโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน เซ็นสัญญาซื้อเขาในราคา 800,000 ยูโร ซัวเรซอยากที่จะย้ายไปเล่นที่ยุโรปเพราะว่าแฟนของเขาและภรรยาในปัจจุบัน โซเฟีย บาลบิ ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้เขาต้องรักษาความสัมพันธ์จากการต้องห่างกันเอาไว้ และนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้อยู่ใกล้แฟนสาวมากขึ้น
ซัวเรซถูกจับตาจากกลุ่มแมวมองของ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ในตอนที่พวกเขาเดินทางไปประเทศอุรุกวัย เพื่อดูฟอร์มนักเตะอีกคนหนึ่ง ในเกมส์นั้นซัวเรสสร้างสรรค์เกม ยิงจุดโทษ และทำประตูที่สวยงาม หลังเกมนั้น กลุ่มแมวมองสนใจที่จะเซ็นต์สัญญาซื้อ ซัวเรซ หลังจบฤดูกาลนั้นสโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน เซ็นสัญญาซื้อเขาในราคา 800,000 ยูโร ซัวเรซอยากที่จะย้ายไปเล่นที่ยุโรปเพราะว่าแฟนของเขาและภรรยาในปัจจุบัน โซเฟีย บาลบิ ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้เขาต้องรักษาความสัมพันธ์จากการต้องห่างกันเอาไว้ และนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้อยู่ใกล้แฟนสาวมากขึ้น
เอเอฟซีอาแจ็กซ์
ซัวเรซ กับ สโมสรฟุตบอลเอเอฟซีอาแจ็กซ์
ในช่วงปี ค.ศ. 2007 ซัวเรซได้เซ็นสัญญากับ เอเอฟซีอาแจ็กซ์เอาไว้ 4 ปี โดยเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกและบอลถ้วยเกือบทุกนัด และยังได้ถูกเลือกให้เป็นผู้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเอเอฟซีอาแจ็กซ์ อีกด้วย ซัวเรซนำทีมอาแจ็กซ์ คว้าแชมป์แชมป์เอเรดิวีซี่ ของลีกสูงสุดในประเทศ เนเธอร์แลนด์ในช่วงฤดูกาล 2010-2011 และ แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ ในช่วงฤดูกาล 2009-2010 ก่อนที่จะย้ายไปสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลของ พรีเมียร์ลีก ที่ประเทศอังกฤษ ในปลายฤดูกาล 2010-2011
ซัวเรซ กับ สโมสรฟุตบอลเอเอฟซีอาแจ็กซ์
ในช่วงปี ค.ศ. 2007 ซัวเรซได้เซ็นสัญญากับ เอเอฟซีอาแจ็กซ์เอาไว้ 4 ปี โดยเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกและบอลถ้วยเกือบทุกนัด และยังได้ถูกเลือกให้เป็นผู้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเอเอฟซีอาแจ็กซ์ อีกด้วย ซัวเรซนำทีมอาแจ็กซ์ คว้าแชมป์แชมป์เอเรดิวีซี่ ของลีกสูงสุดในประเทศ เนเธอร์แลนด์ในช่วงฤดูกาล 2010-2011 และ แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ ในช่วงฤดูกาล 2009-2010 ก่อนที่จะย้ายไปสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลของ พรีเมียร์ลีก ที่ประเทศอังกฤษ ในปลายฤดูกาล 2010-2011
ลิเวอร์พูล
หลุยส์ ซัวเรซ เล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ใน ปี ค.ศ. 2011
หลุยส์ ซัวเรซ เล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ใน ปี ค.ศ. 2011
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์
ค.ศ. 2011 ลิเวอร์พูล ได้ซื้อกองหน้ามา 2 คนคือ แอนดี แคร์โรล และ หลุยส์ ซัวเรซ เข้ามาในถิ่นแอนฟิลด์
และได้เซ็นสัญญาให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ถึงปี 2016 โดยซัวเรซได้มีโอกาสลงเล่นตัวจริงค่อนข้างมากถึงแม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูกาล
2010-11 แล้วก็ตาม เคนนี ดัลกลิช ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลได้เห็นความสามารถและความพิเศษของเขาคนนี้
ดัลกลิชเลยให้เขาสวมเสื้อเบอร์ 7 โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ซัวเรซเป็นตำนานของลิเวอร์พูบต่อจากเขาต่อไป
เกมแรกที่ซัวเรซได้เล่นให้กับ ลิเวอร์พูล
เป็นครั้งแรกและเล่นในถิ่นแอนฟิลด์คือการเจอกับ สโต๊ค ซิตี้ โดยซัวเรซทำไป 1
ประตู และทำให้ลิเวอร์พูลชนะไป 2-0 โดยถูก
ส่งลงมาเป็นตัวสำรองและก็ประเดิมประตูแรกของตัวเองในสีเสื้อลิเวอร์พูล ได้ทันที
เรียกว่าเป็นการลดความกดดันทั้งในเรื่องค่าตัวและเบอร์เสื้ออย่างสิ้นเชิง
และในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2011 ในนัดที่
ลิเวอร์พูลเปิดรังแอนฟิลด์ตอนรับการมาเยือนของคู่อริ
สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ถึงแม้ในวันนั้นซัวเรซจะไม่ได้ทำประตูแต่ก็ช่วยจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูชนะ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไป 3-1 ซัวเรซได้จ่ายไป 2 ลูก โดยการทำ แฮตทริกของ เดิร์ค เคาท์ ปีกขวาทีมชาติเนเธอร์แลนด์
ซึ่งในเกมนั้นยังต้องหลบซีนตำแหน่ง นักเตะยอดเยี่ยมประจำ เกมให้กับเขาเลยทีเดียว
ซัวเรซทำสถิติตลอดระยะเวลา 5 เดือนแรกกับหงส์แดงด้วยการทำไป 4
ประตูจาก 13 เกม
และก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจของสาวกเดอะ ค็อปได้อย่างเต็มตัว รวมถึง
บรรดาเพื่อนร่วมทีมที่เรียงหน้าออกมาชมไม่ขาดสาย และช่วยให้ ลิเวอร์พูล
จบอันดับที่ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2010-11 ซัวเรซ ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล
ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูล ลงเล่นนัดแรกเจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ
ยิงจุดโทษพลาดในช่วงต้นเกม แต่เขาก็ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 20
สิงหาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 2
ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะ อาร์เซนอล ถึง เอมิเรตส์สเตเดียม 2-0
ต่อมา ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก
ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 2-1 ต่อมา
ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ
ก็ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ
เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง 2-0 โดยในปีนี้
ได้สร้างเรื่องฉาวไว้หนึ่งคดี คือกรณีพูดจาเยียดสีผิว เอฟร่า
ในเกมที่ต้องพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเดือนตุลาคม ทำให้เขาโดนตัดสินโทษแบน 8
เกม และโดนปรับเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 40,000 ปอนด์
เริ่มต้นฤดูกาล 2012-13 ในวันที่ 7 สิงหาคม 2012 ซัวเรซได้ทำการเซ็นสัญญาระยะยาวกับลิเวอร์พูล
ต่อมาในวันที่ 26 สิงหาคม เขายิงประตูแรกในฤดูกาล 2012-13
ในเกมที่เสมอ 2-2 กับแชมป์เก่าแมนเชสเตอร์
ซิตี้ ที่แอนฟิลด์ และในวันที่ 29 กันยายน 2012 เขาได้ซัดแฮททริกให้กับลิเวอร์พูล
ในเกมพรีเมียร์ลีกในเกมที่ต้องออกไปเยือนนอร์วิช ซิตี้
ซึ่งเป็นการซัดแฮททริกในฤดูกาลที่สองติดต่อกัน
ในวันที่ 6 มกราคม
2013 ซัวเรซใช้มือช่วยในการทำประตูในเกมที่ชนะ แมนส์ฟิลด์
ทาวน์ จากลีกคอนเฟอร์เรนส์ ในเกมเอฟเอคัพ รอบสาม โดยที่กุนซือตาหวาน เบรนแดน
ร็อดเจอรส์ ออกโรงปกป้องลูกทีมสุดๆ
ต่อมาในวันที่ 19 มกราคม เขาได้ยิงประตูที่ 7 ใน 3 ครั้งที่พบกับนอร์วิช และทำให้ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะในบ้านได้สำเร็จ 5-0
สัปดาห์ต่อมา ซัวเรซได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเป็นครั้งแรก
ในเกมเอฟเอคัพ รอบสี่ ที่ต้องลงสนามพบกับ "หมูชรา" โอลด์แฮ่ม แอตเลติก
ซึ่งนัดนัดนั้นลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 2-3 ต่อมาในวันที่
10 มีนาคม ซัวเรซได้ยิงประตูที่ 50 ได้สำเร็จ
ตั้งแต่สวมเสื้อลิเวอร์พูล เป็นประตูแรกของเกม
ทำให้ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะในบ้านนัดสำคัญกับสเปอร์สไปได้ 3-2
ในช่วงท้ายสุดของฤดูกาล ซัวเรซเป็น 1
ใน 6 คนที่มีรายชื่ออยู่ใน
"นักเตะแห่งปีของนักเตะพีเอฟเอ" เขาได้อันดับที่ 2 ของดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2012-13 ด้วยประตูทั้งสิ้น
23 ประตู และเป็นดาวซัลโวของทีมอีกด้วย จากการยิง 30 ประตูรวมทุกรายการที่ลงแข่งขัน
กรณีการกัดของซัวเรซ ในวันที่ 21 เมษายน
2013 ในเกมที่เสมอกับเชลซี 2-2 ในถิ่นแอนฟิลด์
ด้วยการกัดไปบริเวณท่อนแขนของ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช
จึงทำให้เขานั้นได้รับโทษแบนเป็นจำนวน 10 นัด
ยาวตั้งแต่ปลายฤดูกาล 2012-13 ไปจนถึงต้นฤดูกาล 2013-14
วันที่ 31 พฤษภาคม
2014 ซัวเรซ ออกมาประกาศว่าต้องการย้ายออกจากถิ่นแอนฟิลด์
โดยให้เหตุผลส่วนตัวว่าถูกสื่อจากเกาะอังกฤษ คุกคามชีวิตส่วนตัว จากนั้นวันที่ 6
สิงหาคม ลิเวอร์พูล ปฏิเสธข้อเสนอ 40.1 ล้านปอนด์
ของอาร์เซน่อล ในการยื่นซื้อตัวดาวยิงอุรุกวัยไปแบบไม่ใยดี
กระทั่งมีปัญหาบานปลายในเวลาต่อมาเมื่อ ซัวเรซ อ้างว่า สโมสรผิดสัญญที่ให้ให้ไวกับตัน
ทว่าในวันถัดมา เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ก็ออมาจวกซัวเรซ ว่าไม่มีคำสัญญาใดๆจากสโมสรแม้แต่คำเดียว
ส่งผลให้เทรนเนอร์ชาวไอแลนด์เหนือลงโทษกองหน้าฟันเหยิน
ด้วยการส่งเจ้าตัวแยกออกไปซ้อมกับทีมสำรอง ถัดมาในวันที่ 8 สิงหาคม
จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ ออกมาย้ำอีกเสียง เรื่องซัวเรซ จะไม่ได้ย้ายทีม
วันที่ 14 สิงหาคม 2014 กองหน้าเจ้าปัญหา
ออกมาประกาศอีกครั้งแบบงงกันทั้งโลกว่าต้องการจะอยู่กับสโมสรต่อไป และพร้อมจะต่อสัญญากับลิเวอร์พูลอีกด้วย
พร้อมกับให้เหตุผลว่าได้แรงสนับสนุนจากกองเชียร์ และรู้สึกซาบซึ้งจากกำลังใจของ
"เดอะ ค็อป" จากนั้นสองวันถัดมา ซัวเรซ
ได้กลับมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่อีกครั้ง หลังจากเจ้าตัวออกมาขอโทษต่อหน้าสาธารณะ
วันที่ 25 กันยายน หัวหอกทีมชาติอุรุกวัย
พ้นโทษแบนยาวกลับมาล่าตาข่ายได้เป็นครั้งแรกในศึกลีก คัพ รอบ 3 ซึ่งพบกับอริตลอดกาลแมนฯ ยูไนเต็ด ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทว่าซัวเรซ
ช่วยทีมได้ไม่มาก ก่อนที่ "หงส์แดง" จะพ่ายไป 0-1 เกมถัดมาเป็นศึกพรีเมียร์ลีก
โดยลิเวอร์พูล เจอกับซันเดอร์แลนด์ และ ซัวเรซ ได้ฤกษ์ประเดิมเกมลีกอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
พร้อมกับไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง เมื่อกดไป 2 ตุง
ช่วยให้ต้นสังกัดบุกต้อน "แมวดำ" ถึงสเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ 3-1
จากนั้นหัวหอกฟันยื่น
เครื่องติดเต็มสตีม เมื่อบวกประตูให้ตัวเองเป็นว่าเล่น ซึ่งมีไฮไลท์อยู่ที่ เกมถล่มเวสต์บรอมวิช
4-1 และไล่ยำนอริช 5-1 โดยเจ้าตัวกดแฮตทริกในเกมแรก
ตามด้วยกระทุ้งคนเดียว 4 ตุงในเกมถัดมา และล่าสุด ซัวเรซ
ยิงไปอีก 2 ตุงในนัดบุกสอนบอลสเปอร์ส 5-0 เท่ากับว่า "คิง หลุยส์" กดไปถึง 17 ประตู
จาก 11 เกมที่ลงสนามในลีก
เกียรติประวัติ
ระดับสโมสร
ระดับสโมสร
นาซีอองนัล
แชมป์อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06
อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
แชมป์เอเรดิวีซี่ ฮอลแลนด์ 2010-11
แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ 2009-10
ลิเวอร์พูล
แชมป์ลีกคัพ 2011-12
ระดับชาติ
ฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย
ฟุตบอลโลก 2010 : อันดับ 4
โคปา อเมริกา 2011 : แชมป์
รางวัลส่วนตัว
ซัวเรซ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม ของ โคปา อเมริกา 2011
เอเรดิวีซี่รองเท้าทองคำ : 2009–10
เคเอ็นวีบี คัพดาวยิงสูงสุด : 2009–10
ผู้เล่นแห่งปีของเอเรดิวีซี่ : 2009–10
ผู้เล่นแห่งปีของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม : 2008–09
ดาวยิงสูงสุดของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม : 2008–09,[14]2009–10
โคปา อเมริกา ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน : โคปา อเมริกา 2011
เคยมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักเตะอาชีพ : 2012
ขอขอบคุณ
http://www.translightcolors.com/sbo/7
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น